อัครศาสนูปถัมภก
ศูนย์รวมจิตใจไทยทุกศาสนา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนา นับตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์จวบจนเถลิงถวัลยราชสมบัติ

เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ทรงเข้าพระราชพิธีแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๐๙ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๐๙

ทรงมีพระราชศรัทธา ออกผนวช โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระราชพิธี ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ ทรงได้รับถวายพระสมณนามว่า “วชิราลงฺกรโณ” ประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร และทรงลาสิกขา ในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๑

ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๖.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง ทรงมีพระราชดำรัสประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก ว่า

“ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ แต่เดิมมาข้าพเจ้าได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส และได้เข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะด้วยวิธีนั้นๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น บัดนี้ ข้าพเจ้าได้เถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว จึงขอมอบตัวแด่พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้า จะได้รับการจัดการให้ความคุ้มครอง รักษาพระพุทธศาสนาโดยชอบธรรมตลอดไป ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงจำไว้ด้วยดีว่า ข้าพเจ้าเป็นพุทธศาสนูปถัมภกเถิด”

จากนั้น มีพระบรมราชโองการโปรดสถาปนา สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อัมพโร) เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกในรัชกาลที่ ๑๐ เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ และเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีเฉลิมพระนาม สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสโน) พระราชอุปัธยาจารย์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ” สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวัฑฒโน) พระราชกรรมวาจาจารย์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร” เพื่อเป็นศรีศุภมงคลแด่พระบวรพุทธศาสนา และเป็นที่เฉลิมพระราชศรัทธาสืบไป

เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑ แก้ไขเพิ่มเติม โดยส่วนใหญ่ เป็นการถวายพระราชอำนาจเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม โดยทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งหรือให้ออก โดยจะทรงปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราชก่อนก็ได้ เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช โดยทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการที่จะทรงพระกรุณาโปรดหรือมีพระราชวินิจฉัยให้ปฏิบัติเป็นประการอื่นได้ตามพระราชอัธยาศัย

ทั้งหมดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ การกำหนดวาระของกรรมการมหาเถรสมาคม การแต่งตั้งกรรมการขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างลง การแต่งตั้งเจ้าคณะใหญ่หรือเจ้าคณะภาคและตำแหน่งอื่นตามพระราชดำริ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์และพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ พระสงฆ์ ซึ่งดำรงในสมณคุณ มีอุปการะยิ่งแก่การพระศาสนา สมควรจะได้เลื่อนอิสริยฐานันดรในสมณศักดิ์สูงขึ้นตามวาระ

พระองค์ทรงห่วงใยพระสงฆ์ที่อาพาธ และทรงให้ความสำคัญต่อสุขอนามัยพื้นฐานและโภชนาการที่ดีของพระสงฆ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญสิ่งของพระราชทาน เครื่องอุปโภคบริโภค และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์พระราชทาน ไปมอบแก่โรงพยาบาลสงฆ์

อีกทั้ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทรงรับพระภิกษุซึ่งอาพาธเข้ารับการรักษาพยาบาลไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ยังความปลื้มปีติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแก่คณะสงฆ์อย่างหาที่สุดมิได้

พร้อมเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกิจทางศาสนา เสด็จพระราชดำเนินทรงเปลี่ยนเครื่องทรง พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามฤดูกาล เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และการถวายผ้าพระกฐินหลวงตามวัดต่างๆ หลังวันออกพรรษา

เดือนเมษายน ๒๕๖๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระดำเนินขึ้นพระบรมบรรพต (เจดีย์ภูเขาทอง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ทางบันไดจำนวน ๖๘๘ ขั้น เพื่อทรงห่มผ้าองค์พระเจดีย์บรมบรรพต และสักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ

นอกจากนี้ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ อาทิ ทรงประกอบพิธียกฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือพระประธานพระวิหารพระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง ณ วัดมหาวนาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เพื่อให้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวอุบลราชธานี และทรงประกอบพิธีสมโภชพิพิธภัณฑ์อัฐบริขารหลวงปู่ขาว อนาลโย ณ วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู เสด็จฯ ทรงตัดหวายลูกนิมิตอุโบสถกลางน้ำ วัดศรีรัตนธรรมาราม จ.สมุทรปราการ และอุโบสถบุญชุ่มรัตนปุรี ศรีธรรมราชา วัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว จ.เชียงราย เสด็จฯ ไปทรงประกอบพิธีสมโภช “พระพุทธไตรรัตนนายก” ครบ ๗๐๐ ปี ณ วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา

วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ที่อัญเชิญจากประเทศอินเดียมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์และส่งเสริมศาสนาทุกศาสนาในประเทศไทย ในทุกปีที่ผ่านมา เสด็จพระราชดำเนินไปในการศาสนพิธีและโอกาสสำคัญของชาวไทยมุสลิม อาทิ งานเมาลิดกลางที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงศาสดามูฮัมหมัด พิธีพระราชทานรางวัลการทดสอบการเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ระดับภาคใต้ และระดับประเทศ

17_0

เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออกทรงรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งนครรัฐวาติกัน ในโอกาสเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ อย่างสมพระเกียรติ ด้วยพระราชจริยวัตรที่งดงาม แสดงถึงความสัมพันธ์อันดี เป็นที่ประจักษ์แก่คริสต์ศาสนิกชนและพสกนิกร

ทรงเจริญรอยตามพระบูรพมหากษัตริยาธิราชแห่งราชวงศ์จักรีที่ทรงตั้งมั่นพระราชหฤทัยเกื้อหนุน เกื้อกูล เผยแผ่ และธำรงไว้ซึ่งการสืบทอดพระพุทธศาสนา ดังที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านศาสนา และเป็นองค์อุปถัมภ์ในทุกศาสนา อันเป็นความปลื้มปีติแก่ราษฎรชาวไทยทุกหมู่เหล่า