‘ในหลวง’ ทรงเป็นดั่งแสงสว่าง
พระราชทานโอกาสทางการศึกษาชุบชีวิต
‘นักเรียนทุน ม.ท.ศ.’
ด้วยพระปรีชาสามารถ และพระราชวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ที่พระองค์ทรงเล็งเห็นความสำคัญของ “การศึกษา” และทรงเชื่อว่าการพัฒนาการศึกษา คือ การสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติ จึงทรงมีพระราชดำริให้ดำเนิน “โครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” ขึ้นเมื่อปี ๒๕๕๒ โดยนำพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และเงินบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศล มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยที่ประพฤติดี มีความสามารถในการศึกษาให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคง
ต่อมาในปี ๒๕๕๓ มีพระราชดำริให้จัดตั้ง “มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” โดยเรียกย่อว่า (ม.ท.ศ.)” ทรงเป็นองค์ประธานกรรมการ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำโครงการทุนการศึกษาฯ มาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิฯ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนสืบต่อไป
นับตั้งแต่ปี พุทธศักราช ๒๕๕๒ – ๒๕๖๖ มีนักเรียนได้รับทุนพระราชทานไปแล้ว ๑๕ รุ่น สร้างโอกาสให้เยาวชนแล้ว ๒,๔๑๑ ราย ทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ทักษะชีวิต และทักษะอาชีพ ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
‘นายแพทย์ ไวทยา เกิดมณี’ นักเรียนทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. รุ่นที่ ๓ แพทย์ประจําบ้านอายุรศาสตร์ ชั้นปีที่ ๒ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า ได้รับทุนการศึกษาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขณะกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่จังหวัดปัตตานี โดยพื้นฐานครอบครัวพ่อแม่แยกทางกัน สถานะทางการเงินค่อนข้างลำบาก ทำให้การเรียนต่อชั้นมัธยมปลายกลายเป็น “เรื่องยาก”
ประจวบเหมาะกับที่คุณครูแนะนำทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. ให้ทราบ เนื่องจากเล็งเห็นว่าเขามีคุณสมบัติเหมาะสมในการเข้ารับทุน จากเด็กที่ขาดโอกาสในการศึกษา ขาดรายได้ อีกทั้งยังมองไม่เห็นอนาคต จนได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น เรียกได้ว่า “เปลี่ยนชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ”
หลังจากได้รับทุนการศึกษาเดินตามความฝันที่ปรารถนาจะประกอบอาชีพ “แพทย์” ด้วยความตั้งใจที่อยากจะกลับไปช่วยเหลือประชาชนจังหวัดปัตตานี ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้คนในพื้นที่ไม่ได้รับการรักษามากเท่าที่ควร และด้วยทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. ทำให้เขาเดินตามความฝันได้สำเร็จ ทำหน้าที่ของตนเองในฐานะแพทย์ในโรงพยาบาลจังหวัดปัตตานีตามที่ได้ตั้งใจไว้
“นอกจากตัวผมจะได้รับสิ่งที่ดีแล้ว ยังส่งผลต่อชีวิตของครอบครัว คุณแม่ และน้อง ดีขึ้นตามลำดับ คาดว่าในอนาคตจะทำหน้าที่ในฐานะแพทย์ให้เต็มที่ที่สุด เพื่อเป็นการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ และตอบแทนคุณแผ่นดิน การที่ได้รับทุนการศึกษาจากพระองค์ เป็นหนึ่งในพลังสำคัญที่ทำให้ผมตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน และสามารถเดินมาถึงจุดที่ยืนอยู่ในทุกวันนี้ได้” นายแพทย์อนาคตไกลกล่าว
‘ฉัตรชัย กรุณา’ นักเรียนทุนพระราชทาน รุ่นที่ ๗ ข้าราชการหนุ่มไฟแรง วิศวกรปฏิบัติการ สังกัดกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน อีกทั้งยังได้รับคัดเลือกเป็นผู้รับทุนเฉลิมพระเกียรติฯ รุ่นที่ ๒ ประจำปี ๒๕๖๕ เพื่อไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ต่างประเทศ โดยมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่เข้ารับการบรรจุเป็นข้าราชการระยะเวลา ๒ ปี ซึ่งเขาเล่าว่า รู้สึกตื้นตันใจ และตื่นเต้นมาก เพราะเป็นโอกาส และความภาคภูมิใจของครอบครัว
“หากไม่ได้รับทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. คงจะนึกภาพอนาคตของตัวเองไม่ออก และคงไม่สามารถมายืน ณ จุดนี้ได้ สำคัญที่สุด คือไม่สามารถไปศึกษาต่อถึงต่างประเทศได้อย่างแน่นอน ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญที่มาพลิกชีวิตของผม และครอบครัว ทุกครั้งที่ได้ยินพระราชดำรัสจะมี ๒ อย่างที่พระองค์ทรงเน้นย้ำมาก คือ ความรู้ และความประพฤติ ถ้าหากเรามี ๒ อย่างนี้ เราจะสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้ หลังจากนั้นก็จะสามารถตอบแทนคืนให้กับสังคมหรือแผ่นดินได้”
ในการเดินทางไปศึกษาระดับปริญญาโทที่ต่างประเทศนั้น เขาเล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมตัวเพื่อศึกษาต่อ โดยเขาเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เมืองแอนอาร์เบอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในสาขา Masters of Engineering in energy systems Engineering โดยมีเป้าหมายอย่างแน่วแน่ว่าจะนำความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ได้รับจากการเรียนในต่างประเทศมาปรับใช้ในการทำงาน เป็นคลื่นลูกใหม่ในองค์กรที่พร้อมจะพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า
‘ศุภกร ทองดอนพุ่ม’ นักเรียนทุนพระราชทาน รุ่นที่ ๙ ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมซ่อมบำรุงอากาศยาน ชั้นปีที่ ๔ เล่าย้อนว่า เขาเป็นเด็กคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครปฐม ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี แม่ร่างกายไม่แข็งแรงจึงไม่ได้ประกอบอาชีพ มีเพียงพ่อที่เป็นเสาหลักของครอบครัว โดยทำอาชีพขับรถส่งแก๊สหุงต้มตามครัวเรือน ซึ่ง ณ ตอนนั้น เขาที่เห็นความลำบากของครอบครัว จึงมีความคิดที่อยากจะทำงานให้เร็วที่สุดเพื่อแบ่งเบาภาระของพ่อ การเรียนในระดับปริญญาตรีจึงกลายเป็น “เรื่องรอง” ทำให้เขาเลือกที่จะเรียนต่อในสายอาชีพที่ตอบโจทย์ความต้องการในเรื่องของงานได้มากกว่า
แต่กระนั้น หลังจากที่ได้รับทุนพระราชทานนี้ เขาพูดพร้อมนัยน์ตาที่เปี่ยมไปด้วยความปลื้มใจว่า ดีใจมาก จากเด็กคนหนึ่งที่คิดว่าการเรียนปริญญาตรีเป็นเรื่องยาก จนเห็นปลายทาง และอนาคต อีกทั้งก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าจะถูกเลือก เนื่องจากตนเองเป็นนักเรียนที่มาจากสายอาชีพ ท่ามกลางนักเรียนที่มาจากระดับมัธยมมากมาย เมื่อผ่านการคัดเลือก ความภูมิใจจึงท่วมท้นมากกว่าเดิม แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือการได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด
“มากไปกว่านั้น คือ การได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเข้ารับพระราชทานทุน ทั้งตัวเราและครอบครัวก็ยิ่งดีใจมาก ปลาบปลื้ม ปีติยินดี ที่ได้เข้าใกล้ ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ เห็นพระองค์แย้มพระสรวล” ศุภกร กล่าว
ซึ่งภายหลังได้รับทุน เขาพากเพียร พยายาม มุ่งมั่นในการเรียนอย่างไม่ย่อท้อ นำความรู้ความสามารถที่มีติดตัวมาเมื่อครั้งยังเรียนสายอาชีพมาปรับใช้กับการเรียนในสาขาใหม่ ไปพร้อมๆ กับการทำกิจกรรมต่างๆ ในมหาวิทยาลัย ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานไว้ เป็นหลักคำสอนที่เขาใช้ปฏิบัติเสมอมา
“พระราชดำรัสแรกเป็นพระราชดำรัสที่พระองค์พระราชทานให้ ณ วันที่เข้ารับพระราชทานทุน คือ โอกาสที่พระองค์พระราชทานให้ ให้เราไปมุ่งมั่นตั้งใจเรียน และนำโอกาสตรงนี้ไปพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ รวมถึงประเทศชาติ และอีกพระราชดำรัสหนึ่งที่ผมยึดมั่น เป็นเหมือนหลักคำสอนที่ผมใช้ปฏิบัติมา พระองค์พระราชทานไว้ว่า “เรียนดี ความรู้ดี การงานดี ชีวิตสดใส ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ มีความสุข” ซึ่งพระราชดำรัสนี้ นับว่าเป็นคำขวัญของนักเรียนทุนเลยก็ว่าได้”
นอกจากโอกาสทางด้านการศึกษาแล้ว ทุนนี้ยังมอบประสบการณ์หลายอย่างให้กับเขา ไม่ว่าจะเป็นทักษะในด้านต่างๆ ทำให้เขาได้พัฒนาตนเองอยู่เสมอ หรือมิตรภาพ พี่ น้อง เพื่อนที่ได้พบระหว่างอบรมในค่าย ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันเสมอมา
“นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่เราได้รับโอกาสในการศึกษาต่อ จากเดิมที่เคยคิดว่าการเรียนต่อปริญญาตรีเป็นสิ่งที่ยาก แต่พอได้รับโอกาสตรงนี้มา เราสามารถไปต่อได้ เพราะโอกาสนี้คือแสง คือเข็มทิศที่ทำให้เราเดินทางไปสู่ปลายทางที่เรามุ่งหวังได้ นับว่าเปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งไปตลอดกาล” ศุภกร กล่าว
‘รชต จันทมาตย์’ นักเรียนทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. รุ่นที่ ๑๓ โรงเรียนปทุมธานี นันทมุนีบํารุง สาวน้อยอนาคตวิศวกร ที่เกือบจะไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย เพราะที่บ้านขาดแคลนทุนทรัพย์ ซึ่งครอบครัวของเธออยู่ในฐานะปานกลาง พ่อกับแม่ประกอบอาชีพรับทำเฟอร์นิเจอร์ขายเลี้ยงดูเธอ และพี่ชาย แต่ถึงอย่างนั้น รายได้ก็ไม่เพียงพอที่จะสามารถส่งเธอถึงฝันได้
“ตอนนั้นพ่อกับแม่ไม่ค่อยมีงาน และคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน” เธอเล่าถึงชีวิตก่อนหน้าที่จะได้รับทุนพระราชทาน เมื่อเธอทราบว่าผ่านการคัดเลือก เธอรู้สึกภูมิใจมาก เพราะไม่คาดคิดว่าตนเองจะได้รับทุนพระราชทาน ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ อีกทั้งยังเป็นเกียรติแก่ครอบครัว ตนเอง และโรงเรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากทุนนี้เข้ามาสนับสนุนด้านการศึกษา ทำให้เธอสามารถเรียนในสาขาวิชาที่อยากเรียนได้ โดยปัจจุบันเธอสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สาขาปิโตรเคมี และวัสดุพอลิเมอร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเรียกได้ว่าชีวิตตอนนี้ของเธอและครอบครัว “เปลี่ยนแปลงไปมาก”
“พ่อกับแม่สบายใจและเบาใจเรื่องของเรา เพราะเราได้เรียนในสิ่งที่อยากจะเรียน ซึ่งการเรียนมหาวิทยาลัยค่อนข้างใช้ทุนทรัพย์เยอะ โดยก่อนหน้านี้พี่ชายก็เรียนสายอาชีพ ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย เพราะครอบครัวขาดแคลนทุนทรัพย์” เธอเล่า ก่อนจะพรั่งพรูความในใจถึงครั้งที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ได้ชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด รู้สึกซาบซึ้ง และตื้นตันใจเป็นอย่างมาก เพราะเธอไม่คาดคิดว่าในชีวิตของเด็กคนหนึ่งจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับพระองค์ถึงเพียงนี้
“พระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้เปลี่ยนชีวิตเราไปหลายด้านมาก หลักๆ คือเรื่องของการศึกษา เนื่องจากมีทุนนี้เข้ามาทำให้เราได้รับโอกาสใหม่ๆ เยอะมากขึ้น พระองค์ทรงมอบชีวิตใหม่ให้กับครอบครัวของเรา” รชต กล่าว
นอกจากนี้ เธอยังวางอนาคตไว้ว่าอยากจะรับราชการ โดยสนใจกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพราะมองว่าอาชีพรับราชการ เป็นอาชีพที่ได้ใกล้ชิดกับประชาชน ทำประโยชน์เพื่อประชาชน และสังคมได้อย่างแท้จริง พร้อมให้คำมั่นว่าจะนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนาสังคม และประเทศชาติ จะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และลูกคนนี้ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป
‘ธวัชชัย มีนา’ เป็นนักเรียนทุนการศึกษาพระราชทาน ม.ท.ศ. รุ่นที่ ๑๔ ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนราชวินิต กรุงเทพฯ เล่าว่า พระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้เขามีความกังวลถึงอนาคตของตนเองว่าจะสามารถเรียนในสิ่งที่ต้องการได้หรือไม่ เนื่องจากครอบครัวมีทุนทรัพย์ไม่เพียงพอในการส่งเสีย โดยตัวเขาเองมีความฝันอยากประกอบอาชีพแพทย์ ที่ค่อนข้างใช้ทุนทรัพย์เยอะ แต่เมื่อได้รับทุนพระราชทาน ความกังวลที่ว่านี้ก็มลายหายไป ทำให้ความฝันของเขาเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งทุนนี้เข้ามาช่วยสนับสนุนในเรื่องของค่าใช้จ่าย ครอบคลุมตั้งแต่ค่าครองชีพ ไปจนถึงค่าอุปกรณ์การเรียน
หลังจากได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ ครอบครัวก็ดีใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเขามีทุนทรัพย์ในการสนับสนุนการศึกษาของตนเองแล้ว ส่งผลให้ภาระภายในครอบครัวลดลงตามไปด้วย ความน่ายินดีนี้ยังส่งไปถึงทางโรงเรียน เพราะนับว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับสถานศึกษา
“หลายคนอาจจะมองว่าการที่ได้รับทุนนี้เหมือนเป็นการได้รับพระราชทานทุนเฉยๆ และจบไป แต่จริงๆ แล้วทุน ม.ท.ศ. ให้อะไรกับเรามากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านของมิตรภาพ การสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มคนเพิ่มขึ้น ไม่เพียงแค่ได้รู้จักคน หรือสองคน แต่โครงการนี้ทำให้เราได้รู้จักนักเรียนทุนทั้งประเทศ ผ่านการเข้าค่ายอบรมศักยภาพ เรียกได้ว่าเป็นการพึ่งพากันและกัน” เขาเล่าพร้อมกับใบหน้าเปี่ยมสุข ก่อนเล่าต่อว่า
“พระองค์มีพระราชประสงค์ให้นักเรียนทุนมุ่งเน้นในเรื่องของการศึกษา เรียนอย่างเดียวไม่ได้ เราจะต้องมีกิจกรรม คุณธรรม ความดีเสริมเข้าไปด้วย นั่นคือพระบรมราโชวาทด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เขาจึงน้อมนำพระบรมราโชวาท โดยการวางแผนอนาคตไว้ว่าจะกลับไปพัฒนาภูมิลำเนาของตนเอง ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีปัญหาทางด้านการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอต่อจำนวนคนไข้ โดยเขาตั้งมั่นว่าจะทำให้สำเร็จตามที่มุ่งหวังไว้
“ผมคิดว่าถ้าหากว่าวันนั้นผมไม่ได้ทุนนี้ ผมก็อาจจะได้ไปทำในสิ่งที่ผมไม่ได้ชอบ” ธวัชชัย กล่าว
พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เปรียบเสมือนแสงสว่างที่มอบโอกาส และอนาคต เปลี่ยนแปลงชีวิตของลูกทุน ม.ท.ศ. บ่มเพาะเสริมสร้างทัศนคติที่ดีงาม เติบโตเป็นพลเมืองที่ดี มีสัมมาชีพที่มั่นคง นำความรู้กลับไปทำงานช่วยเหลือสังคม และทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป